วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Hermes


              
                          เฮอร์มีส (Hermes) เป็นชื่อเทพเจ้าในปกรณัมกรีก เรียกชื่อในตำนานเทพเจ้าโรมันว่า เมอร์คิวรี่ เป็น เทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจรผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์ และพ่อค้า อาจเรียกได้ว่า เฮอร์มีส เป็นเทพแห่งการสื่อสาร พระองค์เป็นบุตรของเทพซุส เกิดแต่นางเมยา (Maia) มีของวิเศษคือหมวกและรองเท้ามีปีก เรียกว่า เพตตะซัส (Petasus) ซึ่งเป็นของขวัญที่ได้รับจากเทพบิดา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเทพสื่อสาร
บุตรของเทพเฮอร์มีสได้แก่ เทพแพน เทพเฮอร์มาโฟรไดทัส และเทพออโตไลคัส
หมวก และ รองเท้ามีปีกของเฮอร์มีสนั้นเรียกว่า เพตตะซัส (Petasus) และ ทะเลเรีย (Talaria) เป็นของที่ได้รับ ประทานจาก ซุสเทพบิดา ซึ่งโปรดให้ท่านเป็นเทพสื่อสารประจำพระองค์ ส่วนไม้ถือศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า กะดูเซียส (Caduceus) เดิมเป็นของเทพอพอลโล ใช้ต้อนวัวควายในครอบครอง ครั้งหนึ่งเฮอร์มีส ขโมยวัวของ อพอลโลไปซ่อน อพอลโลรู้ระแคะระคาย ดังนั้นจึงมาทวงถามให้เฮอร์มีสคืนวัวที่ขโมยไป เฮอร์มีสในตอนนั้นยังเยาว์อยู่แท้ ๆ กลับย้อนถามอย่างหน้าตาเฉยว่า วัวอะไร ที่ไหนกัน ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยิน อพอลโลก็ไปฟ้อง เทพบิดาซุส ไกล่เกลี่ยให้เฮอร์มีสคืนวัวให้เจ้าของ อพอลโลได้วัวคืนแล้ว ก็ไม่ถือโกรธเทพผู้น้อง

แม้ว่าวัวจะขาดจำนวนไป 2 ตัว เพราะ เฮอร์มีสเอาไปทำเครื่องสังเวยเสียแล้วก็ตาม อพอลโลเห็นเฮอร์มีสมีพิณถือคันหนึ่ง เรียกว่า ไลร์ (Lyre) เป็นของเฮอร์มีส ประดิษฐ์ขึ้นเอง ด้วยกระดองเต่า ก็อยากได้ จึงเอาไม้กะดูเซียสแลก ไม้ถือกะดูเซียส จึงเป็นของเฮอร์มีส ด้วยเหตุฉะนี้ และถือกันว่า เป็นสัญลักษณ์ ของเฮอร์มีสตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ไม้กะดูเซียสนี้ แต่เดิมเป็นไม้ถือมีปีกเพียงอย่างเดียว ต่อมาเฮอร์มีสถือไปพบงู 2 ตัวกำลังต่อสู้กัน จึงเอาไม้ทิ่ม เข้าในระหว่างกลาง เพื่อห้ามความวิวาท งูก็เลื้อยขึ้นมาพันอยู่กับไม้ โดยหันหัวเข้าหากัน ตั้งแต่นั้นมา งูนี้ก็พันอยู่กับไม้ถือกะดูเซียสตลอดมา และไม้ถือกะดูเซียส ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางด้วย ภายหลังได้ใช้เป็น สัญลักษณ์ของวงการแพทย์มาจนบัดนี้
เฮอร์มีส ถือไม้กะดูเซียส
เฮอร์มีส ไม่เพียงแต่จะเป็นเทพสื่อสารของซุสเท่านั้น หากยังเป็นเทพครองการเดินทาง การพาณิชย์ และตลาด เป็นที่บูชาของพวกหัวขโมย และมีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์คอยนำวิญญาณคนตาย ไปสู่ยมโลกด้วย จนได้รับนามกร อีกชื่อหนึ่งว่า เฮอร์มีสไซโคปอมปัส (Hermes Psychopompus) สรุปว่าการสื่อสาร และการเป็นคนกลางในกิจการทุกอย่างตกเป็นภาระของท่าน หรืออยู่ในความสอดส่องของท่านทั้งสิ้น ส่วนการที่เป็นที่นับถือบูชาของพวกขโมย ก็คงเนื่องจากขโมยวัว ของอพอลโลนั่นเอง
สิ่งที่น่าแปลกประการหนึ่งในตัวของเฮอร์มีส ก็คือ แม้ว่าจะเป็นโอรสของซุส กับนางเมยา ซึ่ง เป็นอนุ แต่ทว่า ทรงเป็นโอรสองค์เดียวของซุสที่ราชินีขี้หึง เทวีฮีร่า ไม่เกลียดชัง กลับเรียกหาให้เฮอร์มีสอยู่ใกล้ ๆ ด้วยเสียอีก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะบุคลิก และนิสัยของเทพเฮอร์มีส ที่ชอบช่วยเหลือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพด้วยกัน หรือ มนุษย์ธรรมดา อาทิเช่น
  • ช่วยปราบยักษ์ร้ายฮิปโปไลตุล
  • ช่วยองค์ซุสเทพบิดา ให้พ้นจากพันธนาการของยักษ์ ไทฟีอัส
  • ช่วยอนุองค์หนึ่งของเทพบิดา คือนางไอโอ ให้รอดตายด้วยการช่วยสังหารอาร์กัสอสูรพันตาของฮีร่า
  • ช่วยเหลือเลี้ยงดู ไดโอนิซัส ในยามแรกถือกำเนิดขึ้น
  • เฮอร์มีสเคยช่วยเปอร์ซีอุส สังหารนางการ์กอนเทดูซ่า
  • ช่วยเฮอร์คิวลิสในยามเดินทางสู่แดนบาดาล
  • ช่วยโอดีสซีอัส ให้รอดพ้นเงื้อมมือนางเซอร์ซี
  • ช่วยให้เตเลมาดุสตามหาพ่อจนพบ

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สถานที่ท่องเที่ยว


1.           เมืองโบราณดูบรอฟนิค ประเทศโครเอเชีย
ดูบรอฟนิค เป็นเมืองเก่าแก่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในทวีปยุโรป ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงาม และตัวเมืองที่มีพื้นที่ติดทะเลเอเดรียติค ทำให้ ดูบรอฟนิค เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม จนได้รับการขนานนามว่า เป็น "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติค" เลยทีเดียว

          ด้านสถาปัตยกรรม เมืองดูบรอฟนิคเป็นเมืองที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมกอธิค บารอก และเรเนสซองค์ ไว้อย่างลงตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จนได้รับการจดทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 
            ซึ่งหากใครชื่นชอบการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แล้วก็อยากพักผ่อนนอนทะเลด้วย ดูบรอฟนิค ดูเหมือนจะเป็นเมืองที่คุณควรจะไปเยือนที่สุดแล้วล่ะ เพราะคุณจะได้สัมผัสกับความสวยงามมั่งคั่งของเมือง และความสวยงามของท้องทะเลไปพร้อม ๆ กัน


2. อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
          อัมสเตอร์ดัม เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องรองเท้าไม้ ร้านกาแฟ และเมืองแห่งไฟแดง เพราะเป็นเมืองที่ผลิตรองเท้าไม้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนที่นี่ และด้วยความที่ชาวอัมสเอตร์ดัมเป็นคนที่ชอบการพบปะสังสรรค์ ทำให้ อัมสเตอร์ดัม เต็มไปด้วยร้านกาแฟและสถานที่พักผ่อนยามว่างมากมาย เรียกว่ามีอยู่ทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว
นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องดังกล่าวแล้ว อัมสเตอร์ดัม ยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านความโรแมนติก โดยเฉพาะในยามราตรี ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงการพักผ่อนและความสุนทรีย์ไปพร้อม ๆ กัน และยังเป็นเมืองที่มีกลิ่นอายความโบราณที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความทันสมัยอย่างลงตัว และหากใครได้ไปเที่ยว อัมสเตอร์ดัม ก็ไม่ควรพลาดที่จะเดินชมความงดงามของโบสถ์เก่าแก่มากมาย ที่มีความแตกต่างกันทางด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกถึงความแปลกใหม่ทุกครั้งที่ได้เดินชมโบสถ์เก่าแต่ละที่

3. สวิสเซอร์แลนด์
สวิสเซอร์แลนด์ เมืองท่องเที่ยวที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ ก็เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ประเทศเล็ก ๆ
ประเทศนี้ เค้ามีชื่อเสียงเรื่องภูมิประเทศที่งดงามมากแค่ไหน เลยไม่แปลกหาก สวิสเซอร์แลนด์ จะเป็นที่ที่คนทั่วโลกโหยหาและอยากจะมาสัมผัสกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต 
ไม่ต้องค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวให้มากมาย เพราะทุกย่างก้าวที่คุณก้าวไป ในสวิสเซอร์แลนด์ โอบล้อมไปด้วยทัศนียภาพที่งดงามมากมาย ให้คุณได้หอบความประทับใจกลับบ้านไปซะเต็มกระบุง ซึ่งหากจะถามว่าทัศนียภาพที่ว่านี้มันงดงามยังไง งานนี้คงตอบไม่ได้ แต่หากไปถามใครก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สวิสเซอร์แลนด์ แดนนี้งดงามเหนือคำบรรยายเลยจริง ๆ

 

โรม

4. กรุงโรม อิตาลี
โรม เป็นศูนย์กลางของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม ที่จะทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับความงดงาม และน่าทึ่งของสถานที่เก่าแก่มากมายที่อยู่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ซึ่งหากใครได้มาเที่ยวที่ โรม แล้ว รับรองว่าไม่ต้องเสียเวลามากมายในการเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่น่าสนใจต่าง ๆ เลยล่ะ
            ในขณะเดียวกัน โรม ยังเป็นเมืองที่มีสีสันทั้งยามหลับและยามตื่น เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล ซ้ำยังมีบรรยากาศที่โรแมนติกไม่แพ้ที่ไหน ๆ จึงไม่แปลกที่คู่รักมากมายจากทั่วโลกจะเดินทางมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันที่นี่
ทะเลสาบพลิทไวซ์

5. ทะเลสาบพลิทไวซ์ ประเทศโครเอเชีย
ทะเลสาบพลิทไวซ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติพลิทไวซ์ ประเทศโครเอเชีย ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ที่ใคร ๆ ต่างกล่าวขานถึงความงดงาม ความอุดมสมบูรณ์ และบริสุทธิ์สดชื่นของธรรมชาติที่นี่  จนทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้ไปเยือนรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่และสีสันของธรรมชาติที่งดงามราวกับแต้มสีไว้เลยทีเดียว