วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Hermes


              
                          เฮอร์มีส (Hermes) เป็นชื่อเทพเจ้าในปกรณัมกรีก เรียกชื่อในตำนานเทพเจ้าโรมันว่า เมอร์คิวรี่ เป็น เทพผู้คุ้มครองเหล่านักเดินทาง คนเลี้ยงแกะ โจรผู้เร่ร่อน กวี นักกีฬา นักประดิษฐ์ และพ่อค้า อาจเรียกได้ว่า เฮอร์มีส เป็นเทพแห่งการสื่อสาร พระองค์เป็นบุตรของเทพซุส เกิดแต่นางเมยา (Maia) มีของวิเศษคือหมวกและรองเท้ามีปีก เรียกว่า เพตตะซัส (Petasus) ซึ่งเป็นของขวัญที่ได้รับจากเทพบิดา เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเทพสื่อสาร
บุตรของเทพเฮอร์มีสได้แก่ เทพแพน เทพเฮอร์มาโฟรไดทัส และเทพออโตไลคัส
หมวก และ รองเท้ามีปีกของเฮอร์มีสนั้นเรียกว่า เพตตะซัส (Petasus) และ ทะเลเรีย (Talaria) เป็นของที่ได้รับ ประทานจาก ซุสเทพบิดา ซึ่งโปรดให้ท่านเป็นเทพสื่อสารประจำพระองค์ ส่วนไม้ถือศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า กะดูเซียส (Caduceus) เดิมเป็นของเทพอพอลโล ใช้ต้อนวัวควายในครอบครอง ครั้งหนึ่งเฮอร์มีส ขโมยวัวของ อพอลโลไปซ่อน อพอลโลรู้ระแคะระคาย ดังนั้นจึงมาทวงถามให้เฮอร์มีสคืนวัวที่ขโมยไป เฮอร์มีสในตอนนั้นยังเยาว์อยู่แท้ ๆ กลับย้อนถามอย่างหน้าตาเฉยว่า วัวอะไร ที่ไหนกัน ไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยิน อพอลโลก็ไปฟ้อง เทพบิดาซุส ไกล่เกลี่ยให้เฮอร์มีสคืนวัวให้เจ้าของ อพอลโลได้วัวคืนแล้ว ก็ไม่ถือโกรธเทพผู้น้อง

แม้ว่าวัวจะขาดจำนวนไป 2 ตัว เพราะ เฮอร์มีสเอาไปทำเครื่องสังเวยเสียแล้วก็ตาม อพอลโลเห็นเฮอร์มีสมีพิณถือคันหนึ่ง เรียกว่า ไลร์ (Lyre) เป็นของเฮอร์มีส ประดิษฐ์ขึ้นเอง ด้วยกระดองเต่า ก็อยากได้ จึงเอาไม้กะดูเซียสแลก ไม้ถือกะดูเซียส จึงเป็นของเฮอร์มีส ด้วยเหตุฉะนี้ และถือกันว่า เป็นสัญลักษณ์ ของเฮอร์มีสตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ไม้กะดูเซียสนี้ แต่เดิมเป็นไม้ถือมีปีกเพียงอย่างเดียว ต่อมาเฮอร์มีสถือไปพบงู 2 ตัวกำลังต่อสู้กัน จึงเอาไม้ทิ่ม เข้าในระหว่างกลาง เพื่อห้ามความวิวาท งูก็เลื้อยขึ้นมาพันอยู่กับไม้ โดยหันหัวเข้าหากัน ตั้งแต่นั้นมา งูนี้ก็พันอยู่กับไม้ถือกะดูเซียสตลอดมา และไม้ถือกะดูเซียส ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางด้วย ภายหลังได้ใช้เป็น สัญลักษณ์ของวงการแพทย์มาจนบัดนี้
เฮอร์มีส ถือไม้กะดูเซียส
เฮอร์มีส ไม่เพียงแต่จะเป็นเทพสื่อสารของซุสเท่านั้น หากยังเป็นเทพครองการเดินทาง การพาณิชย์ และตลาด เป็นที่บูชาของพวกหัวขโมย และมีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์คอยนำวิญญาณคนตาย ไปสู่ยมโลกด้วย จนได้รับนามกร อีกชื่อหนึ่งว่า เฮอร์มีสไซโคปอมปัส (Hermes Psychopompus) สรุปว่าการสื่อสาร และการเป็นคนกลางในกิจการทุกอย่างตกเป็นภาระของท่าน หรืออยู่ในความสอดส่องของท่านทั้งสิ้น ส่วนการที่เป็นที่นับถือบูชาของพวกขโมย ก็คงเนื่องจากขโมยวัว ของอพอลโลนั่นเอง
สิ่งที่น่าแปลกประการหนึ่งในตัวของเฮอร์มีส ก็คือ แม้ว่าจะเป็นโอรสของซุส กับนางเมยา ซึ่ง เป็นอนุ แต่ทว่า ทรงเป็นโอรสองค์เดียวของซุสที่ราชินีขี้หึง เทวีฮีร่า ไม่เกลียดชัง กลับเรียกหาให้เฮอร์มีสอยู่ใกล้ ๆ ด้วยเสียอีก ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะบุคลิก และนิสัยของเทพเฮอร์มีส ที่ชอบช่วยเหลือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพด้วยกัน หรือ มนุษย์ธรรมดา อาทิเช่น
  • ช่วยปราบยักษ์ร้ายฮิปโปไลตุล
  • ช่วยองค์ซุสเทพบิดา ให้พ้นจากพันธนาการของยักษ์ ไทฟีอัส
  • ช่วยอนุองค์หนึ่งของเทพบิดา คือนางไอโอ ให้รอดตายด้วยการช่วยสังหารอาร์กัสอสูรพันตาของฮีร่า
  • ช่วยเหลือเลี้ยงดู ไดโอนิซัส ในยามแรกถือกำเนิดขึ้น
  • เฮอร์มีสเคยช่วยเปอร์ซีอุส สังหารนางการ์กอนเทดูซ่า
  • ช่วยเฮอร์คิวลิสในยามเดินทางสู่แดนบาดาล
  • ช่วยโอดีสซีอัส ให้รอดพ้นเงื้อมมือนางเซอร์ซี
  • ช่วยให้เตเลมาดุสตามหาพ่อจนพบ

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สถานที่ท่องเที่ยว


1.           เมืองโบราณดูบรอฟนิค ประเทศโครเอเชีย
ดูบรอฟนิค เป็นเมืองเก่าแก่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเมืองเก่าที่สวยที่สุดในทวีปยุโรป ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่งดงาม และตัวเมืองที่มีพื้นที่ติดทะเลเอเดรียติค ทำให้ ดูบรอฟนิค เป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม จนได้รับการขนานนามว่า เป็น "ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติค" เลยทีเดียว

          ด้านสถาปัตยกรรม เมืองดูบรอฟนิคเป็นเมืองที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมกอธิค บารอก และเรเนสซองค์ ไว้อย่างลงตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน จนได้รับการจดทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปี ค.ศ. 1979 
            ซึ่งหากใครชื่นชอบการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ แล้วก็อยากพักผ่อนนอนทะเลด้วย ดูบรอฟนิค ดูเหมือนจะเป็นเมืองที่คุณควรจะไปเยือนที่สุดแล้วล่ะ เพราะคุณจะได้สัมผัสกับความสวยงามมั่งคั่งของเมือง และความสวยงามของท้องทะเลไปพร้อม ๆ กัน


2. อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
          อัมสเตอร์ดัม เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องรองเท้าไม้ ร้านกาแฟ และเมืองแห่งไฟแดง เพราะเป็นเมืองที่ผลิตรองเท้าไม้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนที่นี่ และด้วยความที่ชาวอัมสเอตร์ดัมเป็นคนที่ชอบการพบปะสังสรรค์ ทำให้ อัมสเตอร์ดัม เต็มไปด้วยร้านกาแฟและสถานที่พักผ่อนยามว่างมากมาย เรียกว่ามีอยู่ทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว
นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องดังกล่าวแล้ว อัมสเตอร์ดัม ยังเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านความโรแมนติก โดยเฉพาะในยามราตรี ที่ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงการพักผ่อนและความสุนทรีย์ไปพร้อม ๆ กัน และยังเป็นเมืองที่มีกลิ่นอายความโบราณที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความทันสมัยอย่างลงตัว และหากใครได้ไปเที่ยว อัมสเตอร์ดัม ก็ไม่ควรพลาดที่จะเดินชมความงดงามของโบสถ์เก่าแก่มากมาย ที่มีความแตกต่างกันทางด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกถึงความแปลกใหม่ทุกครั้งที่ได้เดินชมโบสถ์เก่าแต่ละที่

3. สวิสเซอร์แลนด์
สวิสเซอร์แลนด์ เมืองท่องเที่ยวที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ ก็เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ประเทศเล็ก ๆ
ประเทศนี้ เค้ามีชื่อเสียงเรื่องภูมิประเทศที่งดงามมากแค่ไหน เลยไม่แปลกหาก สวิสเซอร์แลนด์ จะเป็นที่ที่คนทั่วโลกโหยหาและอยากจะมาสัมผัสกันสักครั้งหนึ่งในชีวิต 
ไม่ต้องค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวให้มากมาย เพราะทุกย่างก้าวที่คุณก้าวไป ในสวิสเซอร์แลนด์ โอบล้อมไปด้วยทัศนียภาพที่งดงามมากมาย ให้คุณได้หอบความประทับใจกลับบ้านไปซะเต็มกระบุง ซึ่งหากจะถามว่าทัศนียภาพที่ว่านี้มันงดงามยังไง งานนี้คงตอบไม่ได้ แต่หากไปถามใครก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สวิสเซอร์แลนด์ แดนนี้งดงามเหนือคำบรรยายเลยจริง ๆ

 

โรม

4. กรุงโรม อิตาลี
โรม เป็นศูนย์กลางของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรม ที่จะทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับความงดงาม และน่าทึ่งของสถานที่เก่าแก่มากมายที่อยู่ห่างกันแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ซึ่งหากใครได้มาเที่ยวที่ โรม แล้ว รับรองว่าไม่ต้องเสียเวลามากมายในการเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่น่าสนใจต่าง ๆ เลยล่ะ
            ในขณะเดียวกัน โรม ยังเป็นเมืองที่มีสีสันทั้งยามหลับและยามตื่น เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล ซ้ำยังมีบรรยากาศที่โรแมนติกไม่แพ้ที่ไหน ๆ จึงไม่แปลกที่คู่รักมากมายจากทั่วโลกจะเดินทางมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กันที่นี่
ทะเลสาบพลิทไวซ์

5. ทะเลสาบพลิทไวซ์ ประเทศโครเอเชีย
ทะเลสาบพลิทไวซ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติพลิทไวซ์ ประเทศโครเอเชีย ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ที่ใคร ๆ ต่างกล่าวขานถึงความงดงาม ความอุดมสมบูรณ์ และบริสุทธิ์สดชื่นของธรรมชาติที่นี่  จนทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ได้ไปเยือนรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่และสีสันของธรรมชาติที่งดงามราวกับแต้มสีไว้เลยทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

Buckingham Palace

ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์
พระราชวังบัคคิงแฮม : Buckingham Palace  เดิมชื่อ คฤหาสน์บัคคิงแฮม เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ   ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนในสหราชอาณาจักรเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการเลี้ยงรับรองของรัฐและยังเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญที่หนึ่งของกรุงลอนดอน และยังเป็นที่รวมพลังใจทั้งในการฉลองและในยามคับขันของชาวอังกฤษ
พระราชวังบัคคิงแฮม  (Buckingham House) เดิมเป็นคฤหาสน์ที่สร้างสำหรับจอห์น เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบัคคิงแฮม  ในปี ค.ศ. 1703 ในปี ค.ศ. 1761  สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3  ทรงซื้อจากดยุคแห่งบัคคิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ ที่รู้จักกันในชื่อ วังพระราชินี” (The Queen's House) ระยะ 75 ปีต่อมาเป็นเวลาที่มีการขยายต่อเติมพระราชวังโดยสถาปนิกจอห์น แนช (John Nash) และ เอ็ดเวิร์ด บลอร์ (Edward Blore) เป็นสามปีรอบลานกลาง
พระราชวังบัคคิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย  ขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837 การต่อเติมครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายทำในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรวมทั้งด้านหน้าที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน บางครั้งพระราชวังบัคคิงแฮมก็เรียกกันเล่นๆ ว่า บัคเฮาส์
ลักษณะทางศิลปะและสถาปัตยกรรม
                      เป็นพระราชวังที่สำคัญของอังกฤษที่สามารถเปิดให้คนเข้าชมได้ ซึ่งภายในพระราชวังจะมีห้องต่างๆ ที่น่าสนใจที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี อาทิ ห้องบังลังก์ของกษัตริย์ ห้องแกลลอรี่ ห้องเสวยพระกระยาหาร ซึ่งห้องต่างๆ เหล่านี้ ได้รับการตกแต่งอย่างงดงามและอลังการ นอกจากนี้ ภายในพระราชวังยังมีสวนที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี เหมาะแก่การเดินชมวิวเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญ คือ การผลัดเปลี่ยนเวร(Changing the Guard) การผลัดเปลี่ยนเวรจะมีขึ้นที่บริเวณ
บริเวณภายในพระราชวังบัคคิงแฮม : Buckingham Palace 
พระราชวังบักกิ้งแฮม โดยจะเริ่มแสดงเวลา 11.30 น . และจะใช้เวลาแสดงทั้งหมด 40 นาที แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ในวันที่มีเหตุการณ์สำคัญของเมืองหรือการผลัดเปลี่ยนเวรอาจจะงดได้ในวันที่ฝนตก พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนใน สหราชอาณาจักรเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการเลี้ยงรับรองของรัฐและยังเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญที่หนึ่งของกรุงลอนดอน และยังเป็นที่รวมพลังใจทั้งในการฉลองและในยามคับขันของชาวอังกฤษ

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

โพสต์ โมเดิร์น
โพสต์ โมเดิร์น  คือ  การตั้งคำถามกับโมเดิร์น การที่มีคนใช้คำว่า โพสต์โมเดิร์นคุณประโยชน์ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เราสามารถหวนกลับไปมองสังคมโมเดิร์นหรือพฤติกรรมที่ผ่านมาของมนุษย์ หรือความคิดความเชื่อของเราอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่บอกว่า "โพสต์" โมเดิร์น เราก็จะยังจะอยู่ในกรอบของโมเดิร์น หรือยังให้มันครอบเราอยู่ ให้เรารู้สึกว่ายัง จะต้องก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความเจริญ ยึดถือลัทธิความก้าวหน้า ซึ่งเป็นมิติที่ควบคู่กับ civilizing mission ของตะวันตก การบอกว่าโลกเป็น โพสต์ โมเดิร์น หรือเป็นโลกหลังสมัยใหม่ ในเชิงการเมืองนอกจากจะทำให้มนุษย์สามารถมองโลกสมัยใหม่อย่างอิสระ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์มันได้ชัดเจนมากขึ้นมองมันถนัดขึ้น ในทางความรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากกรอบ สมมติฐานแบบโมเดิร์น อย่างเช่น ปรัชญาความเป็นสากล ปรัชญาความก้าวหน้า หรือปรัชญาประเภทที่ต้องมีแก่นแท้ มั่นคง ถาวร เป็นอมตะ ซึ่งเอามาจากคริสต์ศาสนา เรื่องวิญญาณ เรื่องพระเจ้า หรือจากกรีกที่เรียกว่าภาวะอุดมคติ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวปรัชญาโพสต์ โมเดิร์น จึงเป็นตัวปรัชญาที่แย้งกับความเป็นสากล หรือความเป็นแก่นแท้ที่ขัดแย้งไม่ได้ ล้มล้างไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้ ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อว่า มนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงได้โดยตรง กล่าวโดยนัยนี้ ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์นยังมีระดับจิตต่ำกว่าปรัชญาของพุทธะ ที่มีประสบการณ์โดยตรงในการเข้าถึง "ความจริงสูงสุด" พวกโพสต์โมเดิร์นเห็นว่า มนุษย์ต้องมองต้องคิดผ่านแว่นของภาษา จึงมองว่า ความจริงเป็นแค่สิ่งที่เราสร้างขึ้นโดยระบบของภาษา
ในเมื่อพวกโพสต์โมเดิร์นมองว่า ความจริงเป็นสิ่งที่คนเราสร้างขึ้น โดยระบบภาษา โดยสำนวนโวหาร โดยการจูงใจ โดยการบิดเบือน โดยการหลอกลวงซ่อนเร้นภายใต้ความขลังของทฤษฎีหรือวาทกรรมแบบต่างๆ หรือภายใต้ระบบปรัชญาที่ซับซ้อนหรือด้วยภาพลักษณ์ที่ง่ายๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นพวกโพสต์โมเดิร์นจึงนิยมมองโลกข้างนอกทุกๆ อย่างเป็นเสมือนพื้นที่ว่างที่เราจะใส่ความคิด ความเชื่อของเราลงไปยังไงก็ได้ คือเติมตัวความหมาย (signifier) ลงไปได้ เพราะฉะนั้นในสายตาของพวกโพสต์โมเดิร์น โลกทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองของมนุษย์จึงเป็นเสมือนพื้นที่ว่างที่มีการช่วงชิงกันเติมความหมาย ความคิดเห็นลงไป การเมืองในยุคโพสต์โมเดิร์นอย่างในยุคปัจจุบัน จึงเป็นการเมืองของการช่วงชิงพื้นที่ด้านต่างๆ
ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์น ไม่เชื่อว่ามีความจริงเพียงหนึ่งเดียวอยู่แล้ว แต่เห็นว่า "ความจริง" เป็นสิ่งที่มองได้หลายมุมมอง และควรผสมผสานมุมมองที่หลากหลายต่างๆ เข้าด้วยกัน  ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์น ปฏิเสธอำนาจของกรอบ ระเบียบ โครงสร้าง รูปแบบจารีตเดิม และมุ่งแสวงหาการคิดนอกกรอบและแหวกแนวอยู่ตลอด
นักคิดโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อในโลกความจริงที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกของภาษา ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งนอกเหนือต่าง ๆ มีอยู่จริงเขาก็ไม่สนใจที่จะต้องไปถกเถียงกัน เพราะว่าถกเถียงไม่ก็ไม่มีข้อสรุปว่าสิ่งไหนถูกผิด เนื่องจากทุกสิ่งถูกการมองโดยโลกของภาษา ซึ่งมีลูกเล่นแพรวพราวทั้งตัวภาษาเองและตัวผู้ใช้ภาษา พวกเขาจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องของภาษา วาทกรรม ตัวบท ซึ่งมีนักคิดคนสำคัญคือ



Jacques Derrida เกิดในอัลจีเรียเขาเสนอวิธีการ deconstruct คือการแสดงให้เห็นว่าเราสามรถถอดรื้อความเห็น ของทฤษฎีหรือวาทกรมใด ๆ ก็ได้ เพื่อเปิดเผยให้เห็นถึงจุดหละหลวมของมัน ซึ่งภาษานั้นก็สามารถที่จะสร้างความหมายลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ เขาจริงถือเป็นภารกิจของเขที่จะถอดรื้อระบบความคิดที่อ้างตัวเองเป็นตัวแทนของความจริง
Michel Foucault เขามุ่งถอดรื้อความคิด ทฤษฎี วาทกรรมที่อ้างตนเองว่าเป็นความรู้ที่เป็นกลางเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ความรู้ทางการแพทย์ ทางสังคม ทางจิตวิทยา ฯลฯ เขาถอดรื้อให้เห็นว่าความรู้จำนวนมาก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ได้ถูสร้างขึ้นมาอย่างมีเงื่อนไขเพื่อปกปิดอำพรางบางอย่าง โดยเฉพาะประโยชน์ทางอำนาจ เพื่อปิดกั้นความรู้และความจริงอื่น ๆ อันเป็นการกดดัน บีบบังคับ บิดเบือน ละเลย หลงลืม อำนาจ หรือการดำรงอยู่ของส่วนอื่น ๆ เช่น ละเลยความสำคัญของจิตใต้สำนึกของร่างกายของคนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ เช่น เกย์ เลสเบี้ยน เป็นต้น
Jacques Lacan (ค.ศ. 1901-1981) งานของเขาชี้ให้เห็นว่าภาษากำหนดรูปร่างความเป็นไปของจิต  ใต้สำนึก อารมณ์ปรารถนาของเราตั้งแต่ยังเป็นทารก โลกของภาษาคือโลกของสัญลักษณ์ อำนาจ การครอบงำตั้งแต่วัยทารกจึงทำให้อัต ลักษณ์ของเราแยกจากภาษาไม่ออก
ลักษณะศิลปะ Post modern
                1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง
2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง
ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย
โมเดิร์น
In contrast to the pre-modern era, Western civilization made a gradual transition from premodernity to modernity when scientific methods were developed which led many to believe that the use of science would lead to all knowledge, thus throwing back the shroud of myth under which pre-modern peoples lived. โมเดิร์นยุคก่อนอารยธรรมตะวันตกได้ค่อยๆเปลี่ยนจาก   premodernity    เพื่อความทันสมัย      ​​เมื่อวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้รับการพัฒนาที่นำมากมายที่จะเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ใช้จะนำไปสู่ความรู้ทั้งหมดจึงโยนกลับผ้าห่อศพของ ตำนาน ตามที่ก่อน คนทันสมัย​​อาศัยอยู่ New information about the world was discovered via empirical observation , [ 15 ] versus the historic use of reason and innate knowledge . ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับโลกที่ถูกค้นพบโดยผ่าน การสังเกตเชิงประจักษ์เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของการใช้เหตุผลและความรู้โดยธรรมชาติ
The term "modern" was coined shortly before 1585 to describe the beginning of a new era. [ 4 ] The European Renaissance (about 1420–1630) is an important transition period beginning between the Late Middle Ages and Early Modern Times, which started in Italy.                คำว่า  "ทันสมัย"  ได้ชื่อว่าก่อนที่จะเริ่ม 1585 เพื่ออธิบายถึงยุคเริ่มต้นใหม่ของยุโรปเรเนสซอง (ประมาณ 1420-1630)   เป็นระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญจุดเริ่มต้นระหว่างปลายสมัยกลางและต้นสมัยใหม่เท่าซึ่งเริ่มต้นในอิตาลี
The term "Early Modern" was introduced in the English language in the 1930s. [ 16 ] to distinguish the time between what we call Middle Ages and time of the late Enlightenment (1800) (when the meaning of the term Modern Ages was developing its contemporary form). คำว่า  "ก่อนโมเดิร์น"  เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930  แยกความแตกต่างระหว่างการพัฒนาครั้งสิ่งที่เราเรียกสมัยกลางและเวลาสายของวิปัสสนา (1800) (โมเดิร์นเมื่อความหมายของคำว่าเป็นของมันเหมาะสำหรับเด็กอายุ รูปแบบร่วมสมัย) It is important to note that these terms stem from European History. เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าคำเหล่านี้เกิดจากประวัติศาสตร์ยุโรป In usage in other parts of the world, such as in Asia, and in Muslim countries, the terms are applied in a very different way, but often in the context with their contact with European culture in the Age of Discoveries . [ 17 ] ในการใช้งานในส่วนอื่น ๆ ของโลกเช่นในเอเชียและในประเทศมุสลิม, คำถูกนำมาใช้ในทางที่แตกต่างกันมาก แต่มักจะอยู่ในบริบทที่มีการติดต่อกับวัฒนธรรมของยุโรปใน ยุคของการค้นพบ .

ยุคโมเดิร์น   :  [ edit ] Significant developmentsการพัฒนาที่สำคัญ

The modern period has been a period of significant development in the fields of science , politics , warfare , and technology .                ระยะเวลาที่ทันสมัยได้รับการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญของระยะเวลาในด้านของ วิทยาศาสตร์ , การเมือง , สงคราม , และ เทคโนโลยี . It has also been an age of discovery and globalization . มันนอกจากนี้ยัง อายุของการค้นพบและโลกาภิวัตน์   During this time that the European powers and later their colonies, began a political, economic, and cultural colonization of the rest of the world. ในช่วงเวลานี้ที่ อำนาจในยุโรป และต่อมาอาณานิคมของพวกเขาเริ่มการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรม การตั้งอาณานิคม ของโลกส่วนที่เหลือของ
By the late 19th and 20th centuries, modernist art, politics, science and culture has come to dominate not only Western Europe and North America, but almost every civilized area on the globe, including movements thought of as opposed to the west and globalization.                โดยปลายศตวรรษ 20, 19  สมัยใหม่ ศิลปะการเมืองวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมได้มาครองไม่เพียง แต่ในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ แต่เกือบทุกพื้นที่บนโลกศิวิไลซ์รวมถึงการเคลื่อนไหวของความคิดต่างไปทางทิศตะวันตกและโลกาภิวัตน์ The modern era is closely associated with the development of individualism , [ 19 ] capitalism , [ 20 ] urbanization [ 19 ] and a belief in the possibilities of technological and political progress . [ 21 ] [ 22 ]  ยุคสมัยใหม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการพัฒนาปัจเจกชน , ทุนนิยม , กลายเป็นเมืองและการเมืองความเชื่อในความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีและ ความก้าวหน้า .
The brutal wars and other problems of this era, many of which come from the effects of rapid change, and the connected loss of strength of traditional religious and ethical norms, have led to many reactions against modern development. [ 23 ] [ 24 ] Optimism and belief in constant progress has been most recently criticized by postmodernism while the dominance of Western Europe and North America over other continents has been criticized by postcolonial theory .                สงครามรุนแรงและปัญหาอื่น ๆ ในยุคนี้จำนวนมากที่มาจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและขาดทุนจากการเชื่อมต่อของความแข็งแรงของบรรทัดฐานทางศาสนาและจริยธรรมดั้งเดิมได้นำไปสู่การตอบสนองต่อการพัฒนาที่ทันสมัยจำนวนมาก แง่และความเชื่อมั่นในความคืบหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้คงได้รับการวิจารณ์มากที่สุดโดย แนวคิดหลังสมัยใหม่ ในขณะที่การปกครองของทวีปยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนืออื่น ๆ ขึ้นไปได้รับการวิจารณ์โดย ทฤษฎี postcolonial .