โพสต์ โมเดิร์น
โพสต์ โมเดิร์น คือ การตั้งคำถามกับโมเดิร์น การที่มีคนใช้คำว่า โพสต์โมเดิร์นคุณประโยชน์ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เราสามารถหวนกลับไปมองสังคมโมเดิร์นหรือพฤติกรรมที่ผ่านมาของมนุษย์ หรือความคิดความเชื่อของเราอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่บอกว่า "โพสต์" โมเดิร์น เราก็จะยังจะอยู่ในกรอบของโมเดิร์น หรือยังให้มันครอบเราอยู่ ให้เรารู้สึกว่ายัง จะต้องก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความเจริญ ยึดถือลัทธิความก้าวหน้า ซึ่งเป็นมิติที่ควบคู่กับ civilizing mission ของตะวันตก การบอกว่าโลกเป็น โพสต์ โมเดิร์น หรือเป็นโลกหลังสมัยใหม่ ในเชิงการเมืองนอกจากจะทำให้มนุษย์สามารถมองโลกสมัยใหม่อย่างอิสระ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์มันได้ชัดเจนมากขึ้นมองมันถนัดขึ้น ในทางความรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากกรอบ สมมติฐานแบบโมเดิร์น อย่างเช่น ปรัชญาความเป็นสากล ปรัชญาความก้าวหน้า หรือปรัชญาประเภทที่ต้องมีแก่นแท้ มั่นคง ถาวร เป็นอมตะ ซึ่งเอามาจากคริสต์ศาสนา เรื่องวิญญาณ เรื่องพระเจ้า หรือจากกรีกที่เรียกว่าภาวะอุดมคติ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวปรัชญาโพสต์ โมเดิร์น จึงเป็นตัวปรัชญาที่แย้งกับความเป็นสากล หรือความเป็นแก่นแท้ที่ขัดแย้งไม่ได้ ล้มล้างไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้ ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อว่า มนุษย์สามารถเข้าถึงความจริงได้โดยตรง กล่าวโดยนัยนี้ ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์นยังมีระดับจิตต่ำกว่าปรัชญาของพุทธะ ที่มีประสบการณ์โดยตรงในการเข้าถึง "ความจริงสูงสุด" พวกโพสต์โมเดิร์นเห็นว่า มนุษย์ต้องมองต้องคิดผ่านแว่นของภาษา จึงมองว่า ความจริงเป็นแค่สิ่งที่เราสร้างขึ้นโดยระบบของภาษา
ในเมื่อพวกโพสต์โมเดิร์นมองว่า ความจริงเป็นสิ่งที่คนเราสร้างขึ้น โดยระบบภาษา โดยสำนวนโวหาร โดยการจูงใจ โดยการบิดเบือน โดยการหลอกลวงซ่อนเร้นภายใต้ความขลังของทฤษฎีหรือวาทกรรมแบบต่างๆ หรือภายใต้ระบบปรัชญาที่ซับซ้อนหรือด้วยภาพลักษณ์ที่ง่ายๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นพวกโพสต์โมเดิร์นจึงนิยมมองโลกข้างนอกทุกๆ อย่างเป็นเสมือนพื้นที่ว่างที่เราจะใส่ความคิด ความเชื่อของเราลงไปยังไงก็ได้ คือเติมตัวความหมาย (signifier) ลงไปได้ เพราะฉะนั้นในสายตาของพวกโพสต์โมเดิร์น โลกทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองของมนุษย์จึงเป็นเสมือนพื้นที่ว่างที่มีการช่วงชิงกันเติมความหมาย ความคิดเห็นลงไป การเมืองในยุคโพสต์โมเดิร์นอย่างในยุคปัจจุบัน จึงเป็นการเมืองของการช่วงชิงพื้นที่ด้านต่างๆ
ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์น ไม่เชื่อว่ามีความจริงเพียงหนึ่งเดียวอยู่แล้ว แต่เห็นว่า "ความจริง" เป็นสิ่งที่มองได้หลายมุมมอง และควรผสมผสานมุมมองที่หลากหลายต่างๆ เข้าด้วยกัน ปรัชญาแบบโพสต์โมเดิร์น ปฏิเสธอำนาจของกรอบ ระเบียบ โครงสร้าง รูปแบบจารีตเดิม และมุ่งแสวงหาการคิดนอกกรอบและแหวกแนวอยู่ตลอด
นักคิดโพสต์โมเดิร์นไม่เชื่อในโลกความจริงที่อยู่นอกเหนือไปจากโลกของภาษา ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งนอกเหนือต่าง ๆ มีอยู่จริงเขาก็ไม่สนใจที่จะต้องไปถกเถียงกัน เพราะว่าถกเถียงไม่ก็ไม่มีข้อสรุปว่าสิ่งไหนถูกผิด เนื่องจากทุกสิ่งถูกการมองโดยโลกของภาษา ซึ่งมีลูกเล่นแพรวพราวทั้งตัวภาษาเองและตัวผู้ใช้ภาษา พวกเขาจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องของภาษา วาทกรรม ตัวบท ซึ่งมีนักคิดคนสำคัญคือ
Jacques Derrida เกิดในอัลจีเรียเขาเสนอวิธีการ deconstruct คือการแสดงให้เห็นว่าเราสามรถถอดรื้อความเห็น ของทฤษฎีหรือวาทกรมใด ๆ ก็ได้ เพื่อเปิดเผยให้เห็นถึงจุดหละหลวมของมัน ซึ่งภาษานั้นก็สามารถที่จะสร้างความหมายลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ เขาจริงถือเป็นภารกิจของเขที่จะถอดรื้อระบบความคิดที่อ้างตัวเองเป็นตัวแทนของความจริง
Michel Foucault เขามุ่งถอดรื้อความคิด ทฤษฎี วาทกรรมที่อ้างตนเองว่าเป็นความรู้ที่เป็นกลางเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ความรู้ทางการแพทย์ ทางสังคม ทางจิตวิทยา ฯลฯ เขาถอดรื้อให้เห็นว่าความรู้จำนวนมาก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ได้ถูสร้างขึ้นมาอย่างมีเงื่อนไขเพื่อปกปิดอำพรางบางอย่าง โดยเฉพาะประโยชน์ทางอำนาจ เพื่อปิดกั้นความรู้และความจริงอื่น ๆ อันเป็นการกดดัน บีบบังคับ บิดเบือน ละเลย หลงลืม อำนาจ หรือการดำรงอยู่ของส่วนอื่น ๆ เช่น ละเลยความสำคัญของจิตใต้สำนึกของร่างกายของคนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ เช่น เกย์ เลสเบี้ยน เป็นต้น
1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง
2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิง
ความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย
โมเดิร์น
โมเดิร์นยุคก่อนอารยธรรมตะวันตกได้ค่อยๆเปลี่ยนจาก premodernity เพื่อความทันสมัย เมื่อวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้รับการพัฒนาที่นำมากมายที่จะเชื่อว่าวิทยาศาสตร์ใช้จะนำไปสู่ความรู้ทั้งหมดจึงโยนกลับผ้าห่อศพของ ตำนาน ตามที่ก่อน คนทันสมัยอาศัยอยู่ ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับโลกที่ถูกค้นพบโดยผ่าน การสังเกตเชิงประจักษ์เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของการใช้เหตุผลและความรู้โดยธรรมชาติ
คำว่า "ทันสมัย" ได้ชื่อว่าก่อนที่จะเริ่ม 1585 เพื่ออธิบายถึงยุคเริ่มต้นใหม่ของยุโรปเรเนสซอง (ประมาณ 1420-1630) เป็นระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญจุดเริ่มต้นระหว่างปลายสมัยกลางและต้นสมัยใหม่เท่าซึ่งเริ่มต้นในอิตาลี
คำว่า "ก่อนโมเดิร์น" เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930 แยกความแตกต่างระหว่างการพัฒนาครั้งสิ่งที่เราเรียกสมัยกลางและเวลาสายของวิปัสสนา (1800) (โมเดิร์นเมื่อความหมายของคำว่าเป็นของมันเหมาะสำหรับเด็กอายุ รูปแบบร่วมสมัย) เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าคำเหล่านี้เกิดจากประวัติศาสตร์ยุโรป ในการใช้งานในส่วนอื่น ๆ ของโลกเช่นในเอเชียและในประเทศมุสลิม, คำถูกนำมาใช้ในทางที่แตกต่างกันมาก แต่มักจะอยู่ในบริบทที่มีการติดต่อกับวัฒนธรรมของยุโรปใน ยุคของการค้นพบ .
ยุคโมเดิร์น : การพัฒนาที่สำคัญ
The modern period has been a period of significant development in the fields of , , , and . ระยะเวลาที่ทันสมัยได้รับการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญของระยะเวลาในด้านของ วิทยาศาสตร์ , การเมือง , สงคราม , และ เทคโนโลยี . It has also been an and . มันนอกจากนี้ยัง อายุของการค้นพบและโลกาภิวัตน์ During this time that the and later their colonies, began a political, economic, and cultural of the rest of the world. ในช่วงเวลานี้ที่ อำนาจในยุโรป และต่อมาอาณานิคมของพวกเขาเริ่มการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรม การตั้งอาณานิคม ของโลกส่วนที่เหลือของ
By the late 19th and 20th centuries, art, politics, science and culture has come to dominate not only Western Europe and North America, but almost every civilized area on the globe, including movements thought of as opposed to the west and globalization. โดยปลายศตวรรษ 20, 19 สมัยใหม่ ศิลปะการเมืองวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมได้มาครองไม่เพียง แต่ในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ แต่เกือบทุกพื้นที่บนโลกศิวิไลซ์รวมถึงการเคลื่อนไหวของความคิดต่างไปทางทิศตะวันตกและโลกาภิวัตน์ The modern era is closely associated with the development of , , [ 19 ] and a belief in the possibilities of technological and political . ยุคสมัยใหม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการพัฒนาปัจเจกชน , ทุนนิยม , กลายเป็นเมืองและการเมืองความเชื่อในความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีและ ความก้าวหน้า .
The brutal wars and other problems of this era, many of which come from the effects of rapid change, and the connected loss of strength of traditional religious and ethical norms, have led to many reactions against modern development. Optimism and belief in constant progress has been most recently criticized by while the dominance of Western Europe and North America over other continents has been criticized by . สงครามรุนแรงและปัญหาอื่น ๆ ในยุคนี้จำนวนมากที่มาจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและขาดทุนจากการเชื่อมต่อของความแข็งแรงของบรรทัดฐานทางศาสนาและจริยธรรมดั้งเดิมได้นำไปสู่การตอบสนองต่อการพัฒนาที่ทันสมัยจำนวนมาก แง่และความเชื่อมั่นในความคืบหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้คงได้รับการวิจารณ์มากที่สุดโดย แนวคิดหลังสมัยใหม่ ในขณะที่การปกครองของทวีปยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนืออื่น ๆ ขึ้นไปได้รับการวิจารณ์โดย ทฤษฎี postcolonial .
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น